มีดทำครัวญี่ปุ่น เป็นหัวใจและจิตวิญญาณที่สำคัญที่สุดในการทำอาหารญี่ปุ่น การหั่น แล่ เป็นปัจจัยสำคัญที่แยกออกจากกันไม่ได้ในการทำอาหารญี่ปุ่น เชฟญี่ปุ่นต้องใช้เวลาหลายปีในการสั่งสมประสบการณ์และสกิลการใช้มีดให้มีความชำนาญ เพื่อดึงประสิทธิภาพของวัตถุดิบออกมาให้เยอะที่สุด
ไม่เพียงแค่เรื่องทักษะอย่างเดียว การดูแลรักษามีดนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน มีดทำครัวญี่ปุ่นไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือเฉยๆเท่านั้น แต่มันเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของผู้ใช้ และเป็นความภาคภูมิใจของผู้ที่ตีมันขึ้นมา ซึ่งถ้าเปรียบกับสมัยก่อน จะเปรียบได้กับ ดาบซามูไร และผู้ที่กวัดแกว่งดาบเล่มนั้นนั่นเอง
ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้ว คุณอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมีดทำครัวญี่ปุ่นเหล่านี้ก็เป็นได้
"มีดทำครัวญี่ปุ่นมาจากไหน?"
”มีดทำครัวญี่ปุ่นเกี่ยวข้องยังไงกับดาบซามูไร?”
”ทำไมมีดทำครัวญี่ปุ่นถึงมีความสำคัญกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น?”
ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ บทความนี้จะตอบคำถามที่คุณสงสัยได้แน่นอนครับ (ยาวหน่อยนะครับ แต่อ่านที่นี่ที่เดียว ได้ข้อมูลครบถ้วนแน่นอน ไม่ต้องไปหาอ่านที่อื่นละ)
เรื่องเล่าในตำนานระหว่างช่างตีดาบและลูกศิษย์ของเขา
ก่อนจะเข้าเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมีดทำครัวญี่ปุ่น อยากจะแชร์เรื่องเล่าในตำนานของ คำสอนนิกายเซ็น ซึ่งเป็นหนึ่งในเบื้องหลังของหัวใจและจิตวิญญาณของมีดทำครัวญี่ปุ่นครับ
ในยุคสมัย คามากูระ, มีช่างตีดาบนามว่า "โกโร่ว นิวโดว มาซามูเนะ" ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นช่างตีดาบที่เทพที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น โดยที่เขามีลูกศิษย์นามว่า "มุรามาสะ" ผู้ที่ได้ถูกขนานนามว่าเป็นช่างตีดาบขั้นเทพเช่นเดียวกัน ได้เปิดโรงเรียนสอนตีดาบขึ้นมา
ณ วันหนึ่ง , ในขณะที่มุรามาสะยังเป็นลูกศิษย์ของมาซามูเนะอยู่นั้น เขาได้ทำการทดสอบกับอาจารย์ของเขาว่า ใครจะตีดาบออกมาได้ดีกว่ากัน
อาจารย์ของเขาและตัวเขาเองนั้นได้บากบั่นหามรุ่งหามค่ำเพื่อตีดาบที่ดีที่สุดออกมา หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้ดีดาบเสร็จ ได้ทดสอบโดยการเอาดาบไปวางที่ลำธาร โดยวางแบบสวนกระแสน้ำ และดูว่าดาบของทั้งสองคนจะสามารถตัดผ่านทุกอย่างที่ไหลผ่านมาตามกระแสน้ำหรือไม่
ดาบของมุรามาสะ ซึ่งมีชื่อว่า "1,000คืนอันหนาวเหน็บ" ตัดผ่านทุกอย่างที่ไหลผ่านสายน้ำมา ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ ปลา แม้แต่อากาศก็ดูเหมือนจะถูกตัดผ่านด้วยดาบเล่มนี้เช่นกัน ซึ่งอาจารย์ของเขาได้ทึ่งในความคมของดาบของลูกศิษย์ตัวเองมาก
ต่อมา ผู้เป็นอาจารย์ได้วางดาบลงไปที่แม่น้ำเพื่อทดสอบเช่นกัน แต่ปรากฏว่า ดาบของมาซามูเนะนั้น ตัดได้แค่ใบไม้เท่านั้น ไม่สามารถตัดปลา หรือสิ่งอื่นๆได้เลย ซึ่งมุรามาสะได้ภูมิใจว่า ผลงานของตัวเองนั้นเจ๋งกว่าของผู้เป็นอาจารย์...... อย่างไรก็ตาม มีนักบวชรูปหนึ่ง ซึ่งได้ดูอยู่ตลอดเวลาที่อาจารย์และลูกศิษย์ได้ประสันความเทพของผลงานตัวเองกันนั้น ได้กล่าวออกมาว่า
"ดาบเล่มแรก เป็นดาบที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่ามันเป็นดาบปิศาจที่กระหายโลหิต มันไม่แบ่งแยกว่าจะฟันอะไรหรือใคร และสามารถตัดหัวได้อย่างง่ายดาย เมื่อเทียบกับดาบอีกเล่ม แต่ดาบอีกเล่มเป็นดาบที่ดีกว่า เพราะว่าเป็นดาบที่เลือกที่จะไม่ฟัน ผู้ที่ไม่เหมาะสม หรือ ผู้บริสุทธิ์"
จากเรื่องเล่านี้ เราจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นดาบ หรือ มีดทำครัวนั้น มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้หั่นหรือตัดสิ่งของเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกหลอมรวมมาจาก ความตั้งใจ หัวใจ และจิตวิญญาณ
ที่มาของคำว่ามีดญี่ปุ่นหรือ 包丁(โฮวโชว)
ถ้าคุณเคยไปร้านขายมีดทำครัวญี่ปุ่นละก็ ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องเคยได้ยินคนพูดว่า โฮวโชว แน่นอน และคำนี้มักจะเป็นคำต่อหลังของชนิดมีดนั้นๆ เช่น ซันโตกุ โฮวโชว เดบะ โฮวโชว เป็นต้น ซึ่งคำว่า 包丁 (โฮวโชว) เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า มีดทำครัว เป็นคำที่ประกอบด้วยคันจิสองตัว 包 (โฮว) 丁 (โชว) ครับ
ถ้าเกิดจะเอารายละเอียดของที่มาของคันจิสองตัวนี้ละก็ ต้องท้าวความไปถึงสมัยจีนโบราณ ประมาณ2,000ปีที่แล้ว ในยุคสมัยสามก๊ก มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นามว่า Wen Hui ซึ่ง Wen Hui มีเหล่าเชฟที่มีฝีมือมากที่สุดของประเทศเพื่อทำอาหารให้ครัวหลวง ซึ่งตัวหนังสือภาษาจีน 包 นั้นแปลว่าครัว และตัวที่สอง 丁 แปลว่าผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในส่วนนั้น การนำสองตัวอักษรนี้มารวมกัน จึงแปลได้ว่า เชฟผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานในครัว แต่อาจจะสงสัยกันใช่ไหม ว่าแล้วไอคำว่าเชฟมันมาจากไหน ซึ่งจริงๆแล้วมันมีที่มาจากยอดเชฟในตำนานที่ทำงานอยู่ในครัวของWen Hui นามว่า Pao Ding ครับ
Pao Ding นั้นเป็นยอดฝีมือในการทำอาหาร สกิลของเขานั้นจัดว่าอยู่ในขั้นที่ไม่มีใครเทียบได้ และเค้ามักจะใช้คำเรียกมีดที่ใช้อยู่ว่า 包丁刀 แปลได้ว่า "ดาบที่ใช้โดยพ่อ/แม่ครัว" โดยที่คำนี้ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย จนมาถึงประเทศญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกนั้น มีดทำครัวญี่ปุ่นนั้นจะไม่ได้ถูกเรียกว่า โฮโชว จากยุคสมัยนาระ และ ยุคสมัยเฮอังตอนต้น คนญี่ปุ่นจะใช้คำว่า คาตานะ (刀) ครับ ซึ่งในช่วงยุคสมัยเฮอังตอนปลาย (ปี ค.ศ. 794~1185) คำว่า 包丁刀 (โฮวโชว คาตานะ) ที่มีที่มาจากประเทศจีนนั้น ได้มาถึงญี่ปุ่น และเริ่มใช้เรียกตั้งแต่ตอนนั้นครับ โดยภายหลังได้ตัดคันจิคำว่า 刀 (คาตานะ) ออกไปเพื่อความง่ายในการเรียก และนี่คือที่มาของคำว่า 包丁 (โฮวโชว) ครับ
ที่น่าสนใจคือ จีนกลับเลิกใช้คำนี้ไปแล้ว ไปใช้คำว่า 菜刀 (ช่ายเตา) แทนครับ เฉพาะฉะนั้น คำว่า โฮวโชว เลยกลายเป็นคำเฉพาะที่ใช้เรียกมีดทำครัวญี่ปุ่นไปโดยปริยายครับ
มีดญี่ปุ่นนั้น เริ่มต้นกำเนิดมาจาก "ก้อนหิน" ?
การตัดสิ่งของโดยใช้หินนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่นนั้น นำหินก้อนใหญ่มาทำให้เป็นก้อนเล็กลงแล้วนำไปทำเป็นเครื่องมือล่าสัตว์ กับหั่นแล่เนื้อสัตว์ครับ
หลังจากนั้น มนุษย์สมัยนั้นได้นำพวกหินเกร็ดมาทำเป็น "เครื่องมือหินขัด" และทำให้เครื่องมือในสมัยนั้น เริ่มมีวิวัฒนาการตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาครับ
ต่อมาในยุคทองแดง และ ยุคโลหะ มนุษย์ได้เรียนรู้ที่จะนำโลหะมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องครัวครับ
ในประเทศญี่ปุ่นยุคก่อนประวัติศาสตร์ เครื่องมือโลหะได้ถูกเริ่มใช้ไปพร้อมกับเครื่องมือหินในยุคสมัยโคฟุน kofun era (ปี 300-538 ก่อนคริสต์ศักราช)
สรุปง่ายๆ timeline ของยุคก่อนประวัติศาสตร์จะเป็น :
•ยุคหินโบราณ (30,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เมื่อมนุษย์ได้ทำการค้นพบครั้งแรกเกี่ยวกับการใช้หินที่ถูกบดมาใช้เป็นเครื่องมือ
•ยุคหินกลาง (10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์และวิวัฒนาการของเครื่องมือที่ทำจากหิน
•ยุคหินใหม่ (8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ยุคเริ่มต้นของการใช้ "เครื่องมือหินขัด"
รูปวิวัฒนาการของมีดทำครัวญี่ปุ่น (ขอขอบคุณรูปภาพจาก dreamofjapan)
ยุคนาระ (ปีคริสต์ศักราช710~794)
มีดญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุด ถูกตีขึ้นในยุคนี้ ซึ่งปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่ โชโซอิน ซึ่งเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในปัจจุบัน
รูปร่างของมีดสมัยนี้นั้นจะคล้ายคลึงกับดาบซามูไรญี่ปุ่น มีใบมีดที่มีด้ามจับยาวถึง 38 ถึง 41 เซนติเมตร
ยุคเฮอัง (ปีคริสต์ศักราช794~1185)
ในช่วงยุคเฮอัง มีดทำครัวญี่ปุ่นกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถานนะทางสังคม และเริ่มถูกพิจารณาว่าเป็นสมบัติ ความหรูหรา และความภาคภูมิใจ แทนที่จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือทำอาหารธรรมดา ซึ่งเชื่อกันว่าสาเหตุมาจาก พิธีกรรมในสมัยนั้น เรียกว่า 庖丁道 (โฮวโชวโดว) แปลเป็นไทยก็ประมาณ "พิธีมีด"
พิธีกรรมดังกล่าวเป็นพิธีกรรมทางศาสนาตั้งแต่ยุคเฮอังและยังสืบทอดต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งคุณสามารถสัมผัสประสบการณ์นี้ได้ที่ ศาลเจ้าทาคาเบะในเมืองมินามิโบโชะ จังหวัดชิบะ ครับ
พิธีนี้จะจัดขึ้นในบรรยากาศที่สำรวมศักดิ์สิทธิ์ โดยผู้ทำพิธีจะสวมใส่ชุดโบราณ ผู้ทำพิธีจะถือมีดทำพิธีที่มือขวา และตะเกียบศักดิ์สิทธิ์มานะที่มือซ้าย และเตรียมอาหารโดยไม่สัมผัสกับอาหารโดยตรง ด้วยท่วงท่าที่สง่างาม สำรวม และทักษะที่ยอดเยี่ยม ทุกการเคลื่อนไหวและเทคนิคการหั่นเฉือนนั้นมีนัยเป็นการสรรเสริญและจุดประสงค์ของพิธีสอดแทรกอยู่ พิธีนี้บอกเล่าประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณแห่งอาหารญี่ปุ่นจนสมัยปัจจุบัน และจะจัดขึ้นที่ศาลเจ้าทาคาเบะทุกปีในวันที่ 17 พฤษภาคม วันที่ 17 ตุลาคม และวันที่ 23 พฤศจิกายน ครับ
ยุคคามากูระ (ปีคริสต์ศักราช1185~1333)
ยุคนี้จะเป็นยุคที่คนที่รู้เกี่ยวกับซามูไรหรือดาบคาตานะ น่าจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะเป็นยุคที่เฟื่องฟูสำหรับซามูไร รวมไปถึงดาบคาตานะด้วย เพราะ สุดยอดช่างตีดาบ มาซามูเนะ และ มุรามาซะ ก็อยู่ในยุคนี้ด้วยเช่นกัน เป็นยุคที่เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในด้านการเมือง วัฒนธรรม และสังคม
ในยุคนี้ ซามูไร และ ช่างตีดาบ กลายเป็นผู้มีอำนาจและถูกยกย่องในสังคมอย่างมาก และนอกจากนี้ ศิลปะการตีดาบได้ถูกสืบทอดไปสู่ศิลปะการตีมีดในภายหลัง ดังนั้น ในยุคคามากูระนี้มีส่วนที่สำคัญอย่างมากในการวิวัฒนาการของมีดทำครัวญี่ปุ่น
เซกิ - เมืองแห่งใบมีด
เซกิเป็นเมืองทางประวัติศาสตร์ทางตอนใต้ของจังหวัดกิฟุ ซึ่งเมืองนี้ได้ถูกก่อตั้งขึ้นระหว่างยุคคามากูระ ซึ่งเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของมีดทำครัวในประเทศญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน และเซกิเป็น 1ใน3ของเมืองแห่งใบมีด "3 S cities of cutlery -Seki(Japan), Solingen(Germany), Sheffield(England)"
เมืองเซกินั้นรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ และเพรียบพร้อมไปด้วยสิ่งที่จำเป็นในการตีมีดทำครัวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น น้ำพุบริสุทธ์จากแหล่งน้ำในภูเขา อุดมไปด้วยแหล่งถ่านหินที่มีคุณภาพชั้นยอด และแม่น้ำที่มีความสำคัญอย่างมากของญี่ปุ่นสองสาย แม่น้ำนะงะระ และ แม่น้ำสึโบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดึงดูดเหล่าช่างตีมีดขั้นเทพมารวมกันอยู่ที่เมืองนี้
ยุคมูโรมาจิ (ปีคริสต์ศักราช1336~1573)
ยุคมูโรมาจิเป็นหนึ่งในยุคที่โหดร้ายรุนแรงที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีความมั่นคงทางด้านเอกภาพและการเมือง แต่ในทางกลับกัน เป็นยุคที่มีความเจริญเติบโตทางด้านวัฒนธรรมอย่างมาก เหล่าศิลปะดั้งเดิมของญี่ปุ่นเช่น พิธีการชงชา, 生け花(อิเคบานะ) ศาสตร์การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้อิธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็น
ศาสตร์การทำอาหารญี่ปุ่นก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้เช่นกัน ซึ่งโรงเรียนสอนทำอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งได้ถูกก่อตั้งในยุคนี้ และในระหว่างยุคนี้ คนญี่ปุ่นก็เริ่มเรียกมีดทำครัวญี่ปุ่นว่า "โฮวโจว" ซึ่งเป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงมีดทำครัว และใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคเอโด (ปีคริสต์ศักราช1603~1867)
ยุคเอโดเป็นยุคที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากสิ้นสุดยุคเซ็งโงกุ และเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นมีความสงบสุขและเสถียรภาพทางด้านการเมือง การเติบโตทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งทำให้ผู้คนในยุคนี้ มีโอกาสได้เพลิดเพลินเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรม และความงดงามของประเพณีญี่ปุ่นมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
ในช่วงต้นของยุคเอโดนั้นมีดทำครัวญี่ปุ่นจะรูปร่างคล้ายกับดาบญี่ปุ่น มีดที่มีด้ามและใบมีดที่ยาว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคที่มีความสงบสุขและเสถียรภาพทางด้านการเมือง การใช้ดาบจึงมีความจำเป็นน้อยลง เหล่าช่างตีดาบทั้งหลายเลยหันไปตีมีดครัวสำหรับใช้ในครัวเรือนมากขึ้นนั่นเอง
ในช่วงกลางยุคของเอโดนั้น ได้ถือกำเนิดมีดทำครัวญี่ปุ่นหลายชนิดที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน อาทิเช่น เดบะ, ยานากิบะ และ นาคิริ
ยุคเมจิ (ปีคริสต์ศักราช1868~1912)
ยุคนี้เป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลและแนวคิดมาจากทางตะวันตกซึ่งทำให้ทุกอย่างในประเทศญี่ปุ่น เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ด้าน การเมืองและวัฒนธรรม รวมไปถึงวิถีการบริโภคอาหารด้วย
ตามหลักศาสนาพุทธ จริงๆแล้วจะไม่สามารถบริโภคเนื้อสัตว์ได้ โดยเฉพาะเนื้อวัว ซึ่งคนญี่ปุ่นได้หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์มาร่วม 12 ศตวรรษ แต่อย่างไรก็ตาม จักรพรรรดิ์ในยุคเมจิ ได้ยกเลิกข้อห้ามเหล่านี้ และสามารถรับประทานเนื้อวัวได้ และหลังจากนั้น ผู้คนก็เริ่มรับประทานเนื้อสัตว์เช่นกัน และด้วยสาเหตุนี้ทำให้กำเนิดมีดที่มีความเชี่ยวชาญในการหั่นเนื้อสัตว์ เช่นมีด กิวโต (เป็นมีดทำครัวญี่ปุ่นในเวอร์ชั่นตะวันตกที่ปรับมาให้เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศญี่ปุ่น) เป็นต้น
เมื่อคนเริ่มหันมารับประทานเนื้อสัตว์ แม้แต่ในครัวเรือนธรรมดา ก็มีการใช้มีดทำครัวหลายชนิดให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ และด้วยเหตุนี้เองจึงได้ถือกำเนิดมีด ซันโตกุ (มีดอเนกประสงค์) ขึ้นมา
อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญมากต่อการวิวัฒนาการของมีดครัวญี่ปุ่นคือ "ข้อยุติการบังคับใช้พกดาบ" ซึ่งเป็นการห้ามให้ประชาชนธรรมดาพกดาบเดินไปมาในที่สาธารณะซึ่งกฏหมายนี้ทำให้ ดาบกลายเป็นสิ่งที่หายากขึ้นทันที โดยผลิตขึ้นเพียงไม่กี่เล่มต่อปีเท่านั้น และทำให้เหล่าช่างตีดาบทั้งหลายหันไปตีมีดแทน
ครอบครัวของช่างตีดาบส่วนใหญ่ได้ผันตัวมาเป็นช่างตีมีด และทำให้ก่อเกิดอุตสาหกรรมมีดครัวญี่ปุ่นอันภูมิใจอย่างยิ่งมาจนถึงปัจจุบัน นำมาพร้อมกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาศตวรรษ
"เมืองแห่งมีด" Sakai เมืองที่สืบทอดศาสตร์แห่งการตีมีดทำครัวญี่ปุ่นมานานกว่า1,000ปี
ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ของมีดญี่ปุ่น จะไม่กล่าวถึงเมืองซาไก ไม่ได้เลย เมืองซาไกเป็นเมืองท่าเรือในโอซาก้า และ เป็นเมืองท่าเรือเมืองหนึ่งที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น
ถ้าอ้างอิงตามบันทึกในประวัติศาสตร์ การตีดาบที่ใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบที่อยู่ในเมืองซาไกนั้น เริ่มตั้งแต่ ศตวรรษที่ 5 แต่อุตสาหกรรมการตีมีดทำครัวญี่ปุ่นนั้นเริ่มแพร่หลายจริงๆใน ศตวรรษที่ 16 ซึ่งสมัยนี้เป็นช่วงที่ยาสูบและปืนถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น ประเทศโปรตุเกส ด้วยความที่เป็นเมืองท่า สามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ง่าย ถึงกับต้องตีมีดสำหรับใช้ตัดใบยาสูบกันเลยทีเดียว
ในปัจจุบัน เมืองซาไก มีอัตราการผลิตมีดทำครัวญี่ปุ่นภายในประเทศถึง 98% ทั้งมีดสำหรับเชฟ และมีดสำหรับครัวเรือน
หนึ่งในลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมการผลิตมีดครัวญี่ปุ่นคือ "การแบ่งงาน" โดยกระบวนการตีมีดนั้นมีขั้นตอนมากกว่าสิบชั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนต้องใช้มืออาชีพเฉพาะขั้นตอนนั้นๆ เช่นการตีเหล็ก การขึ้นรูปมีด การติดตั้งด้ามมีด และในแต่ละขั้นตอนนั้นก็ยังแบ่งแยกไปได้อีกหลายขั้นตอนเลยทีเดียว และในแต่ละขั้นตอนก็ทำมาจากความชำนาญและจิตวิญญาณของช่าง ทำให้มีดที่ออกมานั้นดูพิเศษกว่าที่อื่น
และแน่นอนว่าทางร้านเราจำหน่ายมีดที่มาจากเมืองซาไกทั้งนั้นครับ รับประกันคุณภาพได้เลย คุ้มราคาแน่นอน